
EP#5 คืนคนดีกลับสู่บ้านและชุมชน ด้วยสติบำบัด
สติบำบัด หรือ Mindfulness-Based Therapy and Counselling (MBTC) ภายใต้แนวคิดหลักของ “สมาธิ/สติ ในแนวจิตวิทยาและศาสตร์สมอง” เป็นเครื่องมือหนึ่งของการดูแลพฤติกรรมและจิตสังคมในระบบสาธารณสุข (Behavioural and Psychosocial Care in Public Health System: BPSC) และได้ถูกนำมาใช้เชื่อมโยงกับการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อยู่ในขั้นเลวร้ายและมีภาวะแทรกซ่อน รวมถึงมีโรคร่วมทางด้านจิตเวช (comorbidity) โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า วิตกกังวล ติดสุรา/สารเสพติด ตลอดไปจนถึงผู้ป่วยที่มีปัญหาทางกายภาพ เช่น ผู้ป่วยกลุ่ม NCDs ที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เพื่อการป้องกันแบบเฉพาะเจาะจง
สำหรับสติบำบัดในผู้ป่วยติดสุราและสารเสพติด เน้นการป้องกันการกลับไปเสพซ้ำ โดยใช้สติบำบัดใน
- การฝึกสมาธิในการควบคุมความเครียดและหยุดความอยาก
- การใช้สติในการควบคุมพฤติกรรม เพื่อจัดการกับตัวกระตุ้นภายนอก
- การฝึกสติในจิตให้สามารถปล่อยวางอารมณ์ และความเครียดเพื่อจัดการกับตัวกระตุ้นภายใน
- การใช้สติสื่อสาร สติใคร่ครวญสัมพันธภาพ และสติเมตตา/ให้อภัย ในการปรับปรับปรุงความสัมพันธ์กับบุคคลใกล้ชิด
สติบำบัดประกอบด้วย 8 sessions ได้แก่ (1) สมาธิและคุณค่าในตัวเอง (2) สติ ประกอบด้วย สติตามสภาวะภายใน และสติตามสภาวะภายนอก (3) สติกับความรู้สึก/ปล่อยวาง (4) สติกับความคิด/ปล่อยวาง (5) ใคร่ครวญสัมพันธภาพ (6) สติสื่อสาร (7) สติเมตตา (8) การใช้สติในวิถีชีวิต
โรงพยาบาลหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู และโรงพยาบาลลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลต้นแบบต่างได้นำ BPSC ซึ่งรวมถึงสติบำบัด ได้อย่างทั่วถึงเป็นระบบและนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง จนเกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในองค์กร ดังประสบการณ์การขับเคลื่อนสำคัญ ต่อไปนี้
1. การบริหารและการจัดการ
1.1 เชื่อมโยง BPSC เข้าไปในแผนยุทธศาสตร์องค์กร เพื่อนำองค์กรไปสู่เข็มมุ่งที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น
- ยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศในด้านบริการ (Service Excellence) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการโดยใช้กระบวนการคุณภาพและสติ มีผลลัพธ์หลัก คือ พัฒนาระบบบริการ BPSC ในกลุ่ม IPD OPD และ รพ.สต.นำร่อง
- ยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศในด้านบุคลากร (People Excellence) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสุขภาพจิต สุขภาพกาย ของบุคลากร โดยมีผลลัพธ์หลัก คือ บุคลากรมีสติและสุขภาพดี บุคลากรมีความผาสุกและผูกพันกับองค์กร มีผลงานด้านวิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น
ที่มา โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
1.2 จากแผนยุทธศาสตร์นำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) โดยระบุกิจกรรม วัตถุประสงค์ ตัวชี้วัด กลุ่มเป้าหมาย ระยะเวลาการดำเนินงาน งบประมาณรองรับ และผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรม เหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยสำเร็จของการนำ BPSC ไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง

ที่มา โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
1.3 เชื่อมโยงไปกับคู่มือการปฏิบัติงาน (Work Instruction) ของแต่ละหน่วยงาน/แผนก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบประกันคุณภาพโรงพยาบาล (Hospital Accreditation)
2. โรงพยาบาลทั้งสองแห่งนำสติบำบัดไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ การพัฒนาคุณภาพจิตผู้ให้บริการ และการดูแลรักษาผู้ป่วย สำหรับการถอดบทเรียนครั้งนี้ จะกล่าวถึงการนำไปใช้กับการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ยังคงเป็นปัญหาหลักของโรงพยาบาล ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
2.1 ผู้ป่วยทางจิตเวช เช่น ผู้ป่วยติดสุราที่การดูแลรักษาที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยควบคุมการดื่มสุราได้ ยังมีพฤติกรรมกลับไปดื่มซ้ำสูง วนเวียนเข้ารับการรักษาด้วยปัญหาเดิม ๆ และโรคซึมเศร้าที่ไม่สามารถหยุดยาได้ หรือมีการทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย เป็นต้น
2.2 ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางกายภาพ เช่น ผู้ป่วยกลุ่ม NCDs ที่มีอาการรุนแรง อยู่ในขั้นเลวร้ายและมีภาวะแทรกซอน มีความเครียด นอนไม่หลับ ซึมเศร้า วิตกกังวลร่วมด้วย เป็นต้น
โดยผู้ป่วยดังกล่าว เป็นผู้ที่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยรูปแบบใด เช่น อ่านหนังสือออก พูดคุยกันรู้เรื่อง เป็นต้น
3. กระบวนการนำสติบำบัดไปใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วย (intervention)
3.1 ขั้นเตรียมการ เป็นขั้นตอนจำเป็นและมีความสำคัญ เพื่อค้นหา สร้างแรงงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงจากภายใน (สนทนาสร้างแรงจูงใจหรือ motivational interviewing: MI) โดยสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละคน จนทำให้ผู้ป่วยอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก่อนนำเข้าสู่โปรแกรมสติบำบัด ตัวอย่างเช่น
- อธิบายสภาวการณ์ ให้ถึงความรู้กลไกและสาเหตุของโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ โน้มน้าว ตั้งคำถามให้เกิดกระบวนการคิด พร้อมกับชี้ให้เห็นถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยยาและสติบำบัด เป็นการกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดความอยากรู้ เข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญ เห็นถึงผลกระทบและความรุนแรงที่จะตามมาหากไม่ทำการรักษาใดๆ จนกระทั่งผู้ป่วยสามารถพูดได้ดัวยตนเอง ในประเด็นนี้ สะท้อนถึงผู้ให้บริการสติบำบัดมีความเข้าใจถึงกลไกของโรค ตัวอย่างเช่นผู้ป่วยสารเสพติดส่วนใหญ่ที่หยุดยา จะกลับไปเสพซ้ำในช่วง 2-4 เดือนหลังหยุดดื่มหรือใช้ยา เพราะผู้ป่วยมีภาวะการทำงานของสมองเปลี่ยนไป ที่เรียกกว่าสมองส่วนอยากควบคุมสมองส่วนคิด (ตรงกันข้ามกับคนปกติ) โดยสมองส่วนอยากจะตอบสนองต่อตัวกระตุ้นภายนอก ( เช่น ยาและสิ่งแวดล้อม ) และตัวกระตุ้นภายใน (อารมณ์และความเครียด) ให้เกิดอาการอยากและนำไปสู่การกลับไปเสพซ้ำ ตลอดไปจนถึงเข้าใจบริบทของผู้ป่วยและปัจจัยที่เป็นแรงกระตุ้น เป็นอย่างดีและแม่นยำ ซึ่งมาจากการ
ประเมินคนไข้ เป็นต้น
ที่มา โครงการศูนย์จัดการความรูการดูแลพฤติกรรมและจิตสังคมในระบบสาธารณสุข ระยะที่ 2
การสนทนานั้น สามารถเข้าถึงและสะท้อนถึงแรงจูงใจของผู้ป่วย โดยมีความสอดคล้องกับความต้องการภายใน ที่ผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น
- ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามาด้วยอาการนอนไม่หลับ รู้สึกเศร้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ การสนทนาเพื่อดึงเข้าโปรแกรมสติบำบัดนั้น ต้องตอบวัตถุประสงค์เรื่องการนอนไม่หลับของผู้ป่วย โดยได้อธิบายประเด็น “อารมณ์ที่เกี่ยวกับคลื่นสมอง” และการจัดการทำอย่างไรให้คลื่นสมองช้าลงพร้อมการนอนหลับได้ เป็นต้น
- ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคซึมเศร้า จะไม่คุ้นเคยหรือไม่ชอบคำว่า “สมาธิ” ผู้บำบัดจึงโน้มน้าวสร้างแรงจูงใจโดยใช้เรื่องการปรับ “คลื่นสมองแทน” ว่าส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ ความเครียด และการใช้ชีวิตประจำวัน
- ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีเรื่องศาสนา ความสุข ความทุกข์ เป็นพื้นฐาน การสนทนาสามารถเชื่อมโยงกับเรื่องเหล่านี้ได้
- ตั้งคำถามควบคู่ไปกับการสนทนากับผู้ป่วยติดสารเสพติด เพื่อให้เกิดกระบวนการคิด มุ่งสร้างความเข้าใจ ถึงผลกระทบที่มีต่อสุขภาพ เช่น สมองอย่างไร
- ให้ผู้ป่วยประเมินสภาวการณ์โรคของตนเอง เห็นตนเองได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยวัยรุ่นติดสารเสพติด เช่น ประเมินสมองของตนเองเป็นอย่างไร พร้อมกับการอธิบายว่าไม่มีผู้ใดตอบได้ หากไม่เหมือนเดิม มีแต่ตนเองเท่านั้นที่ประเมินได้ จากนั้นให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายต้องการให้สมองเป็นเช่นนี้ตลอดชีวิตหรือไม่ เพื่อจูงเข้าสู่วิธีการฟื้นฟูสมอง ซึ่งมีด้วยกันหลายวิธี และวิธีที่ง่ายคือ สติบำบัด และใช้จังหวะนี้ อธิบายและชี้แจงวัตถุประสงค์ในแต่ละขั้นตอนของโปรแกรมสติบำบัด
- มีการนำสื่อประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลไกโรค ผลเสียต่อสุขภาพ เป็นเครื่องมือช่วยสร้างความเข้าใจในระหว่างการสนทนา เช่น คลิปวีดีโอจาก YOUTUBE หรือจากโครงการศูนย์จัดการความรูการดูแลพฤติกรรมและจิตสังคมในระบบสาธารณสุขฯ มาประกอบใช้ในการค้นหาและสร้างแรงจูงใจ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นว่าผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงตนเองได้
3.2 ให้การดูแลรักษาร่วมกับการให้บริการโปรแกรม “สติบำบัด” ซึ่งประกอบด้วย 8 sessions สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1.5- 2 ชั่วโมง รวมระยะเวลา 2 เดือน ได้แก่ (1) สมาธิและคุณค่าในตัวเอง (2) สติ ประกอบด้วย สติตามสภาวะภายใน และสติตามสภาวะภายนอก (3) สติกับความรู้สึก/ปล่อยวาง (4) สติกับความคิด/ปล่อยวาง (5) ใคร่ครวญสัมพันธภาพ (6) สติสื่อสาร (7) สติเมตตา (8) การใช้สติในวิถีชีวิต
ที่มา โครงการศูนย์จัดการความรู้การดูแลพฤติกรรมและจิตสังคมในระบบสาธารณสุข ระยะที่ 2
สติบำบัดในผู้ติดสุราและสารเสพติดมีวิธีการเพิ่มเติม คือ

ที่มา โครงการศูนย์จัดการความรู้การดูแลพฤติกรรมและจิตสังคมในระบบสาธารณสุข ระยะที่ 2
โดยทั้ง 8 sessions ต่างสามารถแก้ปัญหาหลักของผู้ป่วย นำมาซึ่งการปรับพฤติกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งผู้ป่วยนอกในคลินิกจิตเวชของโรงพยาบาลลานสกา และผู้ป่วยในในหอผู้ป่วยจิตเวช โรงพยาบาลหนองบัวลำภู ที่ได้บำบัดรักษาผู้ป่วยติดสุราได้อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 15 วัน
| วิธีการฝึก | วัตถุประสงค์เพื่อ | ผู้ป่วยติดสารเสพติด |
| สมาธิ |
|
|
| สติภายในขณะฝึกจิต |
|
|
สติภายในชีวิตประจำวัน
|
|
|
ที่มา โรงพยาบาลลานสกา
3.3 รูปแบบการให้บริการสติบำบัดแก่ผู้ป่วย มีทั้งแบบเดี่ยวเป็นรายบุคคล และแบบกลุ่ม โดยมีการประยุกต์ให้สอดคล้องกับบริบทของผู้ป่วยและโรงพยาบาล ตัวอย่างเช่น
- สติบำบัดเป็นรายบุคคลเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษา เป็นการอำนวยความสะดวกผู้ป่วยไม่ต้องรอนัดกลุ่มสำหรับการบำบัดในครั้งแรก จากนั้นทำการนัดหมายเพื่อให้บริการสติบำบัดแบบกลุ่มในครั้งที่สองเป็นต้นไป ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานง่ายและการบำบัดเกิดประสิทธิผล
- มีการประเมินความพร้อมผู้ป่วยในการเข้ารับโปรแกรมสติบำบัด เช่น ผู้ป่วยมีอาการง่วงนอนหรือหลับขณะทำสติบำบัด ซึ่งเป็นผลจากยาที่รับประทานอยู่ จะยืดหยุ่นหยุดการทำสติบำบัดชั่วขณะ บางครั้งหากผู้ป่วยไม่ไหวก็เปลี่ยนเป็นนอนฟังได้ เป็นการฝึกความมุ่งมั่น ขณะเดียวกันก็สร้างแรงจูงใจ เชียร์ให้กำลังใจ ให้โอกาสผู้ป่วย เป็นการบำบัดด้วยความมุ่งมั่น ด้วยความรักความเมตตา ส่งความปรารถนาดี ภายใต้หลักการสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด (Therapeutic Relationship) ที่ไม่มุ่งเรื่องกระบวนการบำบัดเพียงอย่างเดียว
- แม้ว่าแพทย์จะหยุดการให้ยาผู้ป่วยแล้ว หากอาการยังไม่คงที่ ประกอบกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันของผู้ป่วยไม่ได้ราบรื่นเหมือนกันทุกวัน จึงยังมีการติดตามผู้ป่วยอยู่ต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยได้เข้าร่วมสติบำบัดกับกลุ่มผู้ป่วยใหม่ทุกเดือน นำไปสู่การพูดคุย ทบทวน แลกเปลี่ยนประสบกาณ์ซึ่งกันและกัน และให้คำปรึกษาไปในขณะเดียวกัน ทำให้การบำบัดเกิดประสิทธิผล
- การใคร่ครวญถึงสัมพันธภาพในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญโดยเฉพาะของคนไข้ติดสุรายาเสพติด การที่บิดามารดาหรือสมาชิกในครอบครัวใช้ถ้อยคำรุนแรง (High Emotional Expression) ไม่สามารถพูดคุยกันได้ด้วยดี มีสาเหตุมาจากความห่วงใยและความปรารถนาดี หากไม่สามารถส่งความรักความห่วงใยออกมาได้เพราะมีความทุกข์
3.4 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการบำบัด
- บทบาทขององค์กรในการสนับสนุน เอื้ออำนวยให้มีการนำ BPSC ไปเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารและจัดการ เช่น การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติงาน การพัฒนาบุคลากร การจัดสรรงบประมาณ การกำหนดผลลัพธ์ที่สำคัญ ฯลฯ
- บทบาทของครอบครัวในการสนับสนุน ให้กำลังใจ เข้าร่วมในการทำสติบำบัดพร้อมกับผู้ป่วย ตลอดไปจนถึงร่วมประเมินการเปลี่ยนแปลง ว่ามีประเด็นใดที่ดีขึ้น ประเด็นใดที่ต้องปรับปรุง ขณะเดียวกัน ยังเป็นการทำความเข้าใจกันในครอบครัวได้อีกด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การดึงให้ครอบครัวมาเข้าร่วมการทำสติบำบัด อาจไม่ง่ายนักโดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยนอก ประสบการณ์จากโรงพยาบาลลานสกาจึงได้เน้นสติในการรับรู้ มุ่งความเข้มแข็งจากภายใน รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์/ความรู้สึกของตนเอง คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และปล่อยวางได้เร็ว
- ผู้ให้การบำบัดเข้าใจกลไกของโรคอย่างลึกซึ้ง เข้าใจบริบทของคนไข้ ทั้งสภาพแวดล้อมและครอบครัว เข้าใจโปรแกรมสติบำบัดทั้ง 8 sessions ได้รับการฝึกฝนเรื่องสติสมาธิ มีสภาวะจิตขั้นสูงกว่าผู้ป่วย มีสติภายในและภายนอกที่เข้มแข็ง
4. พัฒนาคุณภาพการนำสติบำบัดมาใช้ในโรงพยาบาล ด้วยกระบวนการดังต่อไปนี้
4.1 กระบวนการวิจัย โดยได้ทำการศึกษาวิจัยควบคู่ไปกับการให้บริการสติบำบัด ตัวอย่างจากโรงพยาบาลต้นแบบได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “ประสิทธิผลของการบำบัดทางจิตสังคมด้วยโปรแกรมสติบำบัด ต่อระดับปัญหาการดื่มสุราและระยะเวลาการกลับไปเสพติดสุราซ้ำ ของผู้ป่วยโรคติดสุราที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยจิตเวช โรงพยาบาลหนองบัวลำภู” โดยได้
- แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหา โดยเชื่อมโยงว่าเป็นปัญหาระดับโลก ระดับประเทศระดับจังหวัด และระดับจังหวัด

ที่มา โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
- กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย และระบุสมมติฐานการวิจัย ในที่นี้คือ กลุ่มทดลอง (ผู้ป่วย) ที่ได้รับโปรแกรมสติบำบัดมีระดับปัญหาการดื่มสุราน้อยกว่ากลุ่มควบคุม และมีระยะเวลากลับไปเสพติดสุราซ้ำช้ากว่ากลุ่มควบคุม

ที่มา โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
- วิธีการดำเนินการวิจัย มีการเก็บรวบรวมข้อมูล ติดตามประเมินผลกลุ่มควบคุมและผู้ป่วยที่ได้รับโปรแกรมสติบำบัด ก่อน ระหว่าง และการรับโปรแกรมสติบำบัด
ที่มา โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
4.2 กระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Quality Improvement, CQI) นำผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จากให้บริการสติบำบัด มาเป็นตัวสะท้อนผลการดำเนินงาน เพื่อนำมาจัดปรับพัฒนากระบวนการให้สติบำบัดอย่างต่อเนื่อง เช่น ตัวอย่างจากโรงพยาบาลลานสกา ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยเข้ารับโปรแกรมสติบำบัดแบบกลุ่มไม่ต่อเนื่อง จำนวนผู้ป่วยลดลงเรื่อย ๆ มีการเลิกกลางคัน (drop out) จึงเปลี่ยนวิธีการ โดยเปลี่ยนวิธีการสนทนาให้สอดคล้องกับการความต้องการภายในของผู้ป่วยแต่ละคน ไม่แจ้งผู้ป่วยว่าโปรแกรมสติบำบัดเป็นคอร์สการรักษา หากเป็นการดูแลผู้ป่วยอย่างใส่ใจ ห่วงใย จึงต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างแรงจูงใจผู้ป่วยจนอยากปรับพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงตนเอง
5. ผลลัพธ์
ตัวอย่างผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จากการนำสติบำบัดไปใช้ ในการดูแลรักษาผู้ป่วย มีดังต่อไปนี้
5.1 ผลลัพธ์ต่อตัวผู้ป่วย
- ผู้ป่วยติดสุรา สามารถลดการกลับดื่มสุราซ้ำช้าลง โดยเฉพาะใน 2 สัปดาห์แรก ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติที่ต้องเฝ้าระวังการกลับไปดื่มซ้ำ และช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับไปดื่มสุราซ้ำช้าลงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทำสติบำบัด 72 วัน
ที่มา โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหลอดเลือดทางสมอง ผู้ป่วยที่มีปัญหา Long Covid มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีความเครียดและวิตกกังวล เมื่อเข้ารับโปรแกรมสติบำบัด ทำให้มีสภาพจิตใจพร้อมสำหรับการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ จนสามารถกลับมาเดินได้
- ผู้ป่วยมีเครื่องมือในการบำบัดตนเอง ลดความรุนแรงของโรค สามารถหยุดยาได้
- ผู้ป่วยเกิดความภาคภูมิใจในตนเองที่สามารถดูแลควบคุมโรคได้ด้วยตนเอง และผู้ป่วยบางรายยังสามารถให้คำแนะนำประสบการณ์ของตนเองให้กับผู้ป่วยรายอื่นๆ
5.2 การขยายผล มีผู้ที่สามารถให้บริการสติบำบัดเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึง ความสามารถขยายผลไปยังผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ได้มากขึ้นในอนาคต

ที่มา โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
5.3 ญาติ ครอบครัวผู้ป่วย ให้การยอมรับการบำบัดรักษาด้วยโปรแกรมสติบำบัด