
ค้นพบความสุขก็ตอนนี้แหละ….
ไม่อยากตื่น ไม่อยากเจอผู้คน อยากหลับไปตลอดจัง คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวทุกเช้าที่ตื่นนอนถึงแม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันแดดจ้า ฟ้าร้องก็ตาม…ย้อนกลับไปในสมัยตอนเป็นเด็ก เด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนจำความได้ เริ่มมีความทรงจำทุกวันจะร้องไห้งอแงไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเจอเพื่อน ไม่อยากออกสังคม เริ่มทำร้ายตัวเอง เราทำร้ายตัวเองแผลแรกคือตอน ม.ต้น และมีอีกหลายๆแผลตามมา เริ่มเก็บตัว ไม่พูดไม่คุยกับใคร ไม่ใช่ว่าขี้แงหรืออะไรหรอกนะ เพราะการไปโรงเรียนเราไม่มีเพื่อน เราโดนแบนออกจากกลุ่ม แค่คำที่ว่าหลานครู เด็กคนอื่นเลยคิดว่าเราได้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น เราต้องกินข้าวคนเดียว อยู่กับอารมณ์ที่อย่างเฟล ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรด้วยสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีมากพอและครอบครัวก็ไม่ได้สนใจเราอะไรขนาดนั้น L จนจบประถมก็คิดว่าจะหลุดจากวงโคจรอะไรแบบนี้สักที แต่…มันก็ไม่ได้เป็นดังใจหวังเข้าม.ต้นด้วยความดื้อเลยย้ายไปเรียนกับเพื่อนอีกรร.คิดว่าเขาคือเพื่อนแท้แต่จริงๆแล้วไม่ ! เราเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยมากข้ามไปจนถึง ปวช. เราไม่เคยรู้ว่าเราเป็นอะไรกับอาการแบบนี้ที่ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้เอาซะเลย ขอย้อนกลับไปก่อนว่าครอบครัวเราตอนนั้น Toxic มาก มากเกินที่เด็กคนนึงจะรับไว้ได้ .. เวลาเราเครียดหรือเราดิ่งลงเราคุยกับใครไม่ได้เลย เวลาคุยก็จะโดนประโยคเดิมๆวา “มึงอะคิดมาก คิดอะไรเยอะแยะวะ” เอาจริงๆตั้งแต่ประถมจนจบปวช.เราไม่เคยยิ้มแบบนี้ความสุขได้เกิน2วันเลยเว้ย ที่บอกว่าสิ่งแวดล้อมสำคัญมันคือเรื่องขริง จริงๆนะ … นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดจนเราได้รู้จักกับความว่าโรคซึมเศร้า …
“สวัสดีซึมเศร้า J“ พอทุกอย่างมันมัดรวมกันและเกิดเหตุการณ์ต่างๆแบบนี้ต่อเนื่องมาหลายปี จนวันนึงด้วยความที่เราอยากสวยอ่ะเนาะวัยรุ่น555 เราก็สั่งคอลลาเจนแบรนด์หนึ่งมาลองกิน กินมาได้ 3,4 วันแล้วนะก็ปกติดี จนคืนนั้นเราก็กินเหมือนเดิมแต่ดั๊นไปแกะแคปซูนแล้วเอาผงมันมาละลายกับน้ำผลไม้ กินได้ไม่ถึง 5 นาที เรามีอาการใจเต้นสั่นเร็วมากเหมือนหัวใจจะทะลุออกมาจากอก เลยตัดสินใจให้ที่บ้านพาไปโรงพยาบาล เขาก็ตรวจอะไรปกติเราก็บอกว่าเรากินแบบนี้มา ตอนนั้นคิด 100% ว่าเพราะอิคอลลาเจนนี้แน่ๆ 555 ก็เลยแอดมิด1คืน ตรวจเสร็จหมอก็แจ้งว่าเกลือแร่ต่ำ เราก็ไม่มั่นใจว่าพูดถูกมั้ยนะ ก็เอ้อกลับบ้านปกติ ผ่านไป2วันก็แบบเดิมอีกแต่เราหยุดกินคอลลาเจนตัวนั้นแล้วนะ ก็แอดมิดโรงพยาบาลอีกแต่คราวนี้ 2-3 คืน เขาก็พยายามตรวจนะหลายอย่าง จนเข้าอาคารหอพักผู้ป่วย พยาบาลเดินมาถาม “ช่วงนี้น้องมีอาการเครียดหรือเปล่า มีอะไรไม่สบายใจมั้ย ?” เราก็บอกใช่ค่ะมีเรื่องเครียดอยู่ พยาบาลเลยบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ให้ไปคุยกับจิตแพทย์นะ คืนนั้นทั้งคืนเราวิตกมากว่าเราจะตายมั้ยจะตื่นมาเจอหน้าพ่อกับแม่หรือเปล่า หายใจไม่ออกจนต้องแจ้งพยาบาลว่าหนูขอสายออกซิเจนหน่อยค่ะ พอได้มาก็พยายามตั้งสติข่มตานอน จนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เห้อ.. เช้ามาตอนเวรเปลมารับเราไป ตอนนั่งรถเข็นเราร้องไห้หนักมากเว้ย ร้องแบบไม่รู้ว่าร้องเพราะอะไร ร้องไห้ จนถึงห้องตรวจเราก็ได้เจอคุณหมอที่เราคิดว่าคนนี้แหละที่จะเข้าใจเราทุกอย่าง เข้าไปในห้องเราเงียบไม่พูดเราร้องไห้ คุณหมอบอกให้พ่อเราไปรอข้างนอก คุณหมอถามว่าร้องไห้ทำไมบอกได้ไหม เราก็บอกว่าหนูไม่รู้หนูแค่อยากร้องไห้ นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้รู้จักน้าติ๋วหรือคุณหมอติ๋วของเรานี่แหละ… เราก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง ขอเรียกว่าน้าติ๋วเนาะ ก็ทำแบบประเมินก็คือเราอยู่ในเกณฑ์ซึมเศร้าระดับกลาง ก็ได้รู้จักกับคำว่าซึมเศร้า อ่อมันเป็นอย่างนี้นี่เอง น้าติ๋วให้คำแนะนำ สอนเรื่องการฝึกลมหายใจเข้าหายใจออก การหลับตาทำตามสเตปของน้าติ๋ว ตอนนั้นน้าติ๋วไม่จ่ายยาให้ น้าติ๋วอยากให้เราบำบัดด้วยการนั่งสมาธิแหละกำหนดลมหายใจไม่อยากให้พึ่งยาเลย ให้แบบฟอร์มเรามาฝึก1ใบ ครบ2อาทิตย์ก็ไปดูอาการแต่ตอนนั้นคิดว่าเราโอเคแล้วก็เลยแจ้งว่าโอเคแล้วตอนนั้นไม่อยากทำด้วยคิดว่าไม่เป็นไรหรอกหายแล้วขี้เกียจ 555 จนเราจบปวส. หายไปจากน้าติ๋ว 2 ปี…
เข้ามหาลัยเราเจอเหตุการณ์เหมือนตอนเกริ่นไว้ตอนต้นเลยแต่ครั้งนี้เรามาเรียนต่อที่ต่างจังหวัด ไม่มี ครอบครัวอยู่ด้วยและทุกอย่างมันเริ่มแย่ลง……เราไม่ไหวจนเริ่มทำร้ายตัวเองอีกครั้ง บอกก่อนว่าตอนนั้นเราเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก มากๆของมากที่สุด ทำลายข้าวของ นิสัยไม่ดีมาก เราร้องไห้ในห้องน้ำหนักมาก ทำร้ายตัวเองอีกรอบ จนเพื่อนและที่ปรึกษาพาไปหาหมอที่รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดนั้น หมอก็ซักอาการเบื้องต้นตามสเต็ปและทุกอย่างพล็อตเดิมแต่แค่ครั้งนี้เราได้ยามากิน เป็นยาแก้เครียด ยาซึมเศร้า ยาปรับอารมณ์ เราเรียกไม่ถูก100%หรอก หมอนัดทุกอาทิตย์ช่วงนั้น จน2-3เดือนอาการเราก็ไม่ดีขึ้นเลยเปลี่ยนยาแรงขึ้น คือเราดื้อกินบ้างไม่กินบ้างวันไหนอาการดีก็ไม่กิน ดิ่งก็กิน ซึ่งไม่ดีเลย เราเป็นแบบนี้ ไปหาหมอจนเรียนมหาลัยจบ 2 ปีได้แหละ ตอนนั้นเรามีปัญหากับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันเราเลยตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียว ตอนแรกกลัวใจตัวเองจะไม่ไหว แต่บอกออกมาเหมือนออกจากวง Toxic มาได้เราโอเคขึ้นเว้ยโอเคขึ้นมากเพราะเราไม่ต้องมานั่งแคร์ใครสนใจใคร กินข้าวคนเดียว เรียนคนเดียว เที่ยวคนเดียว โคตรมีความสุขเลยเว้ย ความสุขที่แบบไม่เคยเจอในชีวิต เราไม่รู้ว่ายาช่วยมากน้อยแค่ไหน แต่ตัวเราก็อยู่ได้โดยคิดว่าจะไม่พี่งยาอีกแล้ว…
หลังจากเรียนจบเราก็กลับมาอยู่บ้านกินยาที่เหลืออยู่ไม่พบหมอเกือบสามเดือนที่เป็นอยู่อย่างนี้เลยคุยกับแม่ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอาจกลับมาดิ่งหนักลงอีกเลยตัดสินใจไปพบหมอและเป็นอีกครั้งที่เราเจอกับน้าติ๋วคุณหมอใจดีที่ช่วยเราไว้เมื่อครั้งก่อน..เราก็เล่ารายละเอียดทุกอย่างให้ฟังน้าติ๋วก็บอกว่าควรทานยาไปก่อนและที่เพิ่มมาคือการบำบัดร่วมด้วย ช่วงแรกนัดทุกสองอาทิตย์กลับมาบ้านนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจตาม สเตปตามที่น้าติ๋วสอนทำได้บ้างไม่ได้บ้างท้อบ้างบางทีก็คิดไม่น่าช่วยได้หรอกต้องยาสิ แต่เราก็ยังทำต่อเพราะอยากหลุดพ้นจากโรคนี้แล้ว โรคที่ทุกคนชอบคิดว่าโรคเรียกร้องความสนใจ เราเลยตั้งใจทำมาตลอด ยา+บำบัด เราเคยถามน้าติ๋วว่าโรคนี้มันเป็นได้ยังไง น้าติ๋วบอกว่าให้เปรียบสมองเหมือนรถยาเหมือนน้ำมันเครื่องถ้ารถวิ่งไปนานๆทำงานหนักมันก็พังวิ่งต่อไม่ได้ จำเป็นต้องมีน้ำมันเครื่องเติมลงไปเพื่อให้รถจะได้วิ่งต่อได้ โรคที่เป็นๆการผิดปกติของสารบางอย่างในสมองถ้าเราเครียดหนักเกินไปสมองทำงานหนักมันก็ไปไม่ไหวจนต้องใช้ยาเข้าในช่วยเพื่อให้สมองไม่หนักมากจนเกินไป ซึ่งประโยคนี้ทำให้เราเข้าใจโรคนี้ได้มากกว่าเดิมและใช้เป็นการอธิบายใจให้คนอื่นฟังได้ง่ายขึ้นเพราะเราเจอคำถามตลอดว่าเป็นเพราะอะไร เป็นได้ยังไง ในเมื่อก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่น และข้ามมาตอนนี้เราได้เข้ากับกลุ่มน้าๆป้าๆที่เรียกว่ากลุ่ม “พลังใจ” เราได้ร่วมบำบัดกับคนอื่น แลกเปลี่ยนความคิด และวิธีแก้ปัญหาของแต่ละคน จนเรารู้สึกว่าเรื่องที่เราเจอยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของคนอื่นเลย เราต้องหายต้องใช้ชีวิตที่มีความสุขเหมือนคนอื่นนะ ต้องหายสิวะ !! ทุกครั้งที่เรามาตามนัดขอบอกก่อนว่ามาตรงทุกนัดนะ 55 เพราะเรารู้สึกว่าห้องบำบัดห้องนี้คือที่ของเรา ทุกครั้งที่มาและกลับไปเราจะได้คำตอบและทางออกดีๆจากน้าติ๋วทุกครั้ง จากที่เรามองโลกแค่ครึ่งนึง คำตอบน้าติ๋วสามารถทำให้เราเห็นโลกทั้งใบได้ น้าติ๋วบอกว่าเราทุกคนมีบททดสอบทุกวัน อยู่ที่ว่าเราจะแก้ปัญหาของบททดสอบบทนี้ยังไง…
ซึ่งมันก็จริงเราเริ่มเรียนรู้วิธีรับมือกับเรื่องนั้น ๆ เราเริ่มนอนหลับง่ายขึ้น ไม่ลุกขึ้นตื่นตอนกลางดึก กินข้าวได้มากขึ้น อ้วนขึ้น 555 จนเราได้เริ่มลดยา ลดลงเรื่อยๆ จนถึงวันที่เรารอคอยคือวันที่ได้หยุดยา เราดีใจมากเราชนะมันได้แล้ว เราค้นพบความสุขที่แท้จริงแล้ว แต่การหยุดยาก็ทรมานมากเหมือนกันเราไม่ได้ลดหรือหยุดทันทีนะน้าติ๋วจะเช็คอาการเราทุกรอบนัดและค่อยๆลดยาลงจนหยุดทุกตัว อาการตอนนั้นเหมือนไฟช็อตตามร่างกายปากแห้งเลยคิดว่าน่าจะอาการถอนยามั้งเคยได้ยินมาเราก็เข้าใจทันทีว่าทำไมน้าติ๋วถึงพูดตลอดว่าไม่อยากให้พึ่งยาเพราะเอฟเฟคผลเสียมันก็มีหลายอย่างเช่นกัน.. ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ปีกว่าที่เรารักษากับน้าติ๋ว และครึ่งปีได้แหละทีเราหยุดยาเราถือว่าเรารู้ตัวเร็วรักษาเร็วเราจึงได้รับผลลัพธ์แบบนี้ เราหยุดยาแต่ก็ยังมาพบน้าติ๋วนะมันเหมือนได้กลับมายังที่ที่เราปลอดภัย กลับมาหาครอบครัวทุกๆอาทิตย์ ทุกๆเดือน ถ้าตอนนั้นเราตัดสินใจผิดเลือกที่จะกินแต่ยาแต่ไม่ได้รับการบำบัดเราคงใช้ชีวิตไม่ได้แน่ เพราะตอนนี้เราออกมาทำงานได้ อยู่คนเดียวได้ แถมงานบริการก็หนักม๊ากก 55 แต่ก็สลัดทิ้งได้หมด นอนหลับทุกคืนแม้จะเจอบททดสอบสุดหินในบางวัน ดึงความรู้สึกตัวเองกลับมานึกถึงคำของน้าติ๋ว นั่งสมาธิรับรู้ลมให้ใจเข้าออก ปล่อยวาง ฝึกจิตใจ ตอนนี้ต่อให้เรื่องหนักหนาแค่ไหนเราว่าเรารับมือได้ และเรามั่นใจว่าจะยังไงก็ตามเราจะไม่กลับไปเจอมันอีกเด็ดขาด “ซึมเศร้าเพื่อนรัก” ใครบอกว่าต้องกินยาตลอดชีวิต เราทำได้คนอื่นก็ทำได้ เป็นกำลังใจให้กับคนที่เจอโรคนี้อยู่อย่าหมดหวัง อย่าเพิ่งท้อ เราจะไม่พูดว่าสู้ๆนะ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนสู้มาตลอดแต่ใครจะรู้ว่าเราสู้ขนาดไหน ขอแค่ทุกคนอย่าเพิ่งสิ้นหวัง แล้วสักวันจะได้เจอคำว่า “ค้นพบความสุขก็ตอนนี้แหละ” ความสุขในช่วงชีวิตวัย 20 ตอนกลาง……
พลอย..
จิณห์มนัส อัศจรรย์กาญจน์ โรงพยาบาลลานสกา ผู้ถ่ายทอดเรื่องราว