ถอดบทเรียน : MBBI ทางรอดในการให้บริการ NCDs: ตอนที่ 2 การคัดกรองและสร้างแรงจูงใจ

โรงพยาบาลน้ำพอง จ.ขอนแก่น และโรงพยาบาลพิมาย จ.นครราชสีมา โรงพยาบาลต้นแบบของแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice)  ในการนำ MBBI  มาใช้ในงานบริการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases, NCDs)  ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ไม่สามารถควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง  (พิจารณาจากค่า DTX[1] ≥ 161-180 มก./ดล. และค่า BP 160-179/100-109 มม./ปรอท)  จนเห็นผลลัพธ์เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผู้ป่วยหลายมิติ ได้แก่

1.ผลลัพธ์ทางคลินิก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์ที่เห็นผลเชิงประจักษ์ (evidence based science)

1.1 โรคเบาหวาน :  ทำการวัดและประเมินผลจากค่า HbA1c[2] และ DTX  พบว่า หากมีการนำ MBBI มาใช้ร่วมกับกับการดูแลผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ จะส่งผลต่อความสำเร็จในการควบคุมโรคาเบาหวานและความดัน  ตัวอย่างเช่น ร้อยละ 84.7 ของผู้ป่วยโรงพยาบาลน้ำพองที่เข้าโปรแกรม MBBI ครบ 4 ครั้ง มีค่า HbA1c ลดลง  ร้อยละ 66.9, 24.6 และ 8.5 ของผู้ป่วยโรงพยาบาลน้ำพองมีค่า DTX ลดลง เมื่อเข้าโปรแกรม MBBI เป็นจำนวน 3 , 2 และ 1 ครั้ง ตามลำดับ  และร้อยละ 75.8 ของผู้ป่วยโรงพยาบาลพิมายที่มี HbA1c > 7 มีระดับ HbA1c < 7 เมื่อตรวจหลังจบโปรแกรม MBBI ที่ 6 เดือน

ที่มา  โรงพยาบาลน้ำพอง

 

ที่มา  โรงพยาบาลพิมาย

1.2 ความดันโลหิตสูง ตัวอย่างเช่น ร้อยละ 33.3 ของผู้ป่วยโรงพยาบาลน้ำพองที่เข้าโปรแกรม MBBI มีความดันโลหิตลดลงหลังจากเข้ากระบวนการกลุ่ม 3 ใน 3 ครั้ง  ร้อยละ 41.7 หลังจากเข้ากระบวนการกลุ่ม 2 ใน 3 ครั้ง และร้อย 25  ครั้งหลังจากเข้ากระบวนการกลุ่ม 1 ใน 3

ที่มา  โรงพยาบาลน้ำพอง

2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย จนสามารถควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตได้

ผลลัพธ์ทางคลินิกสะท้อนถึงความสามารถของผู้ป่วย ในการควบคุมโรคเบาหวานและภาวะความดันโลหิตสูง โดยใช้ MBBI เป็นเครื่องมือช่วยปรับพฤติกรรมตนเองในการดูแลสุขภาพตนเอง ได้แก่ (1) การมีสติในการรับประทานอาหาร เรื่องเล่าจากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ป่วยสามารถลดอาหารหวานได้  โดยเฉพาะช่วงเทศกาลซึ่งมีอาหารหวานให้เลือกมากมาย ลดการดื่มน้ำอัดลม ลดการดื่มสุราและเครื่องดื่มชูกำลัง ลดการเติมเครื่องปรุง ลดอาหารทอด เปลี่ยนเวลารับประทานอาหารมื้อเย็นให้ห่างจากเวลานอนเพิ่มขึ้น เปลี่ยนมื้อที่รับประทานข้าวเหนียวมาเป็นมื้อเช้า ลดปริมาณการรับประทานข้าวเหนียวลง และรับประทานผักเพิ่มขึ้น เป็นต้น (2) ปรับพฤติกรรมในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์แนะนำ หรือผู้ป่วยที่ทำงานหนักอยู่แล้วก็เป็นการยืดเหยียดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (3) การดูแลสุขภาพช่องปาก ลดเครื่องดื่มขนมที่มีรสหวาน แปรงฟันให้สะอาด 2-3 ครั้งต่อวัน พบทันตบุคลากรเมื่อมีปัญหาสุขภาพช่องปาก เพราะส่งผลทำให้รับประทานผักได้ลดลง (4) รับประทานยาสม่ำเสมอ ไม่ลืมเช่นเคย

3. สามารถประเมินวิถีการใช้ชีวิตของตนเองที่เป็นความเสี่ยงต่อโรค NCDs

4. ยังคงใช้สติในการควบคุมอารมณ์ และใช้สติจนเป็นวิถีชีวิต

 


[1] Detrostix หรือ DTX คือ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด โดยการเจาะเลือดฝอยที่ปลายนิ้ว หากค่าระดับน้ำตาลในเลือด ≥ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร  ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน

[2] HbA1c หรือ การตรวนฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี ซึ่งเป็นการตรวจวัดค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

ชนกานต์ ชูชีพชื่นกมล